

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่างเวลาที่อิทธิพลของอังกฤษและฝรั่งเศสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกทวีความรุนแรงขึ้น โดยสามารถสร้างอาณานิคมประชิดเขตแดนไทยเกือบทุกทิศทุกทาง และแข่งขันกันสร้างอิทธิพลเหนือไทย ฝรั่งเศสแสดงทีท่าคุกคามไทยมากกว่าอังกฤษซึ่งมักใช้วิธีเจรจาทางการทูต เมื่อฝรั่งเศสยึดเขมรส่วนนอกได้แล้วใน พ.ศ.๒๔๑๐ ก็มุ่งไปที่ดินแดนลาวซึ่งเป็นประเทศราชของไทย รัฐบาลไทยจึงวิตกถึงปัญหาพรมแดนที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนแน่นอน ทั้งหัวเมืองลาวก็ยังมีฐานะเป็น “เมืองสองฝ่ายฟ้า” กล่าวคือ เจ้าเมืองยอมรับอำนาจการปกครองของทั้งญวนและไทย แต่ต่างฝ่ายต่างจัดการปกครองไม่รัดกุม เป็นช่องทางให้ฝรั่งเศสอ้างสิทธิเหนือดินแดนดังกล่าวในฐานะผู้สืบสิทธิต่อจากญวนได้
เบี้องหลังวิฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒
เหตุการณ์ที่เปิดโอกาสให้ฝรั่งเศสใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าแทรกแซงและรุกราน หัวเมืองลาว จนเป็นชนวนนำไปสู่การเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ คือ การรุกรานหัวเมืองพวน แคว้นสิบสองจุไท และหัวพันทั้งห้าทั้งหกของพวกจีนฮ่อ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๑๘ ถึง พ.ศ.๒๔๒๘ ฝ่ายไทยได้ยกกองทัพไปปราบฮ่อและจัดการปกครองหัวเมืองลาวเหล่านี้ให้เป็นระเบียบ นับเป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงสิทธิ์เหนือดินแดนลาว ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๓๐ ระหว่างที่ฝรั่งเศสกำลังปราบปรามพวกฮ่อในแคว้นตังเกี๋ยได้ถือโอกาสส่งกำลังทหารเข้ามาในหัวเมืองลาว โดยอ้างว่าเพื่อตามตีพวกฮ่อที่แตกกระจัดกระจายเข้ามาในดินแดนนั้นใน พ.ศ.๒๔๓๑ ฝรั่งเศสได้เรียกร้องสิทธิของญวนเหนือลาวซึ่งรวมเอาเมืองพวนไว้ด้วยอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายไทยไม่ยินยอม โดยยืนยันสิทธิของไทยเหนือดินแดนดังกล่าวและไม่รับผิดชอบใด ๆ ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรุกราน ปัญหาชายแดนที่คาบเกี่ยวกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจึงเกิดขึ้น

ช้างบรรทุกปืนใหญ่ของกำลังพลเกณฑ์ มณฑลพิษณุโลก
มุ่งสู่หลวงพระบางเพื่อปราบจีนฮ่อใน พ.ศ.๒๔๑๘

จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
(เจิม แสง - ชูโต)

นายณอง- มารี โอกุสสต์ ปาวี
Jean-Marie Auguste Pavie
รัฐบาลไทยตระหนักดีว่า การรักษาดินแดนลาวต่อไปนั้น ต้องมีข้อตกลงร่วมกันเพื่อกำหนดเส้นเขตแดนให้แน่นอน และเป็นที่รับรองร่วมกัน ไทยจึงพยายามแสวงหาความร่วมมือจากฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสไม่พร้อมที่จะร่วมมือกับไทยอย่างจริงจัง ฝรั่งเศสปล่อยให้ดินแดนลาวเป็นปัญหาไว้ ด้วยเหตุนี้กรณีพิพาทชายแดนระหว่างประเทศทั้งสองจึงเกิดขึ้นหลายครั้ง เพื่อเป็นการรักษาอธิปไตยของไทยเหนือแคว้นสิบสองจุไทและหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) ได้เปิดการเจรจากับนายโอกุสต์ ปาวี (Auguste Pavie) ผู้ช่วยกงสุลฝรั่งเศสในขณะนั้น ที่เมืองแถง (เป็นเมืองเอกของแคว้นสิบสองจุไท) เพื่อแสวงหาทางออก แต่ไม่สามารถตกลงกันได้

กองกำลังของไทยที่เมืองลาว
ต่อมาฝรั่งเศสยังพยายามขับไล่ทหารไทยออกจากเมืองแถงจนเป็นผลสำเร็จ ไทยต้องเสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไททั้งหมด ๘๗,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรั่งเศสโดยพฤตินัยใน พ.ศ.๒๔๓๑ ความขัดแย้งเรื่องดินแดนลาวระหว่างไทยกับฝรั่งเศสยุติลงชั่วคราวเท่านั้น เพราะฝรั่งเศสมีนโยบายแผ่ขยายอำนาจออกไปจนถึงฝั่งแม่น้ำโขง คือดินแดนทั้งหมดบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตั้งแต่ภาคเหนือของลาวไปจดแดนเขมร นโยบายเช่นนั้นย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายไทย มีการปะทะกันระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่ายหลายครั้ง

พระยอดเมืองขวาง
เจ้าเมืองคำมวน

นายโกรกูแรง
(Grosgurin)
แผนที่แสดงดินแดนที่เป็นของไทยก่อนเสียให้แก่ฝรั่งเศส
แผนที่แสดงดินแดนในแคว้นสิบสองจุไทที่ไทย
เสียให้แก่ฝรั่งเศสใน พ.ศ.๒๔๓๑


ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๓๖ ฝรั่งเศสส่งทหารญวนและเขมร ๔๐๐ นาย เข้าไปในหัวเมืองลาวกาว ยึดเมืองสตึงแตรงและเมืองดอนสาครได้ตามลำดับ แล้วส่งทหารเข้าไปยังเมืองอัตตะบือและเมืองแสนปางเพื่อบังคับเอาเสบียง ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ผู้สำเร็จราชการฝ่ายสยามประจำเมืองสตึงแตรงสามารถจับกุมผู้บังคับการกองเรือฝรั่งเศสคือ นาวาเอก โทเรอซ์ (Capitaine de Vaisseau Thoreux) ได้ที่เมืองคอน (Khon) ซึ่งทำให้สมาชิกสภากลุ่มอาณานิคมของฝรั่งเศสมี ปฏิกิริยาอย่างรุนแรง พร้อมทั้งร่วมกันร่างคำร้องให้ฝรั่งเศสยึดหมู่เกาะบริเวณอ่าวสยาม เพื่อเตรียมการที่จะเข้ายึดครองประเทศสยามในวันข้างหน้า ในระหว่างนั้นทหารฝรั่งเศสคุมทหารญวนเข้ายึดเมืองต่าง ๆ ตามลุ่มแม่น้ำโขงได้ทั้งสิ้น ๙ เมือง หัวเมืองลาวถูกโจมตีอย่างหนัก ซึ่งในการสู้รบที่เมืองคำมวนและทุ่งเชียงคำนั้น ฝรั่งเศสจับตัวพระยอดเมืองขวางเจ้าเมืองคำมวนได้ แต่ในขณะที่คุมตัวพระยอดเมืองขวางไปถึงแก่งเจ๊กก่อนถึงปากน้ำพิบูลย์ ทหารฝรั่งเศสปะทะกับกองทัพไทยที่ยกมาช่วยพระยอดเมืองขวาง และนายโกรกูแรง (Grosgurin) นายทหารฝรั่งเศสได้เสียชีวิตในช่วงที่มีการปะทะกัน ฝรั่งเศสเรียกร้องให้ฝ่ายไทยลงโทษพระยอดเมืองขวาง และใช้การเสียชีวิตของนายโกรกูแรงเป็นข้ออ้างในการส่งทหารเพิ่มเติมเข้าไปในลาว
การปะทะกันระหว่างกองทหารไทยกับฝรั่งเศสยังคงเกิดขึ้นไปตามหัวเมืองลาวกาว โดยผลัดกันรุกผลัดกันรับตลอดมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาถึงพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวกาวให้ต่อสู้จนถึงที่สุด พร้อมทั้งโปรดให้ส่งกำลังทหารและอาวุธไปเสริมกำลังทางหัวเมืองลาวกาว ลาวพวน จันทบุรีและระยองด้วย แต่การเสริมกำลังนั้นขาดแคลนอาวุธ ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนั้น เสนาบดีของไทยผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว มีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสวัสดิวัตนวิศิษฐ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม เสนอให้รบจนถึงขั้นแตกหัก ฝ่ายพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศเห็นควรให้จำกัดขอบเขตการสู้รบ และใช้วิธีเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะฝรั่งเศสอาจใช้การตอบโต้นั้นเป็นข้ออ้างในการประกาศสงครามกับไทย

พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงพิชิตปรีชากร

พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ

พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงสวัสดิวัฒนวิศิษฐ์

พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์

นายชาร์ล เลอ มีร์ เดอ วิแลร์
แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงเห็นด้วยกับฝ่ายแรก แต่ก็ทรงเลือกใช้ทั้งสองวิธี โดยมีพระราชดำริว่า “ถ้าไทยพยายามระมัดระวังให้การสู้รบอยู่ในขอบเขตของการป้องกันตัวแล้ว ไทยก็ยังมีโอกาสเจรจากับฝรั่งเศสได้ในยามจำเป็น” นอกจากพระราชดำรินั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสวงหาความช่วยเหลือจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ กงสุลไทยประจำกรุงปารีสทรงเข้าพบรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสนายจูล เดอแวล (Jules Develle) เพื่อประท้วงฝรั่งเศสเรื่องส่งกองทัพเข้ายึดเมืองสตึงแตรง เมืองคอน เกาะเสม็ด และอื่น ๆ แต่การเจรจาประสบความล้มเหลว เนื่องจากรัฐบาลฝรั่งเศสในขณะนั้นได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาฝรั่งเศส กระทรวงอาณานิคม หนังสือพิมพ์และวงการศาสนาให้ใช้มาตรการรุนแรงกับไทย ในสถานการณ์เช่นนั้น ไทยและฝรั่งเศสต่างเชื่อว่าการใช้วิธีการเจรจาทางการทูตจะไม่บังเกิดผล

เรือเลอ ลูแตง (Le Lutin) ทอดสมอหน้าสถานกงสุลฝรั่งเศส
ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือน เมษายน พ.ศ.๒๔๓๖
ดังนั้นฝรั่งเศสจึงหันไปใช้นโยบายเรือปืนบีบบังคับฝ่ายไทย โดยส่งเรือรบเลอ ลูแตง (Le Lutin) เข้ามาจอดอยู่หน้ากงสุลฝรั่งเศส ตั้งแต่เดือน เมษายน พ.ศ.๒๔๓๖ ต่อมาในวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ รัฐบาลฝรั่งเศสได้แต่งตั้งนายชาร์ล เลอ มีร์ เดอ วิแลร์ (Charles Le Myre de Vilers) เป็นตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเข้ามาแจ้งรัฐบาลไทยว่า ถ้าฝ่ายไทยปฏิเสธไม่รับรองสิทธิ์ของฝรั่งเศสบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ไม่ยอมเสียค่าปรับให้แก่พ่อค้าฝรั่งเศส ไม่ปล่อยตัวนาวาเอก โทเรอซ์ ผู้บังคับบัญชาการกองเรือฝรั่งเศสซึ่งถูกไทย จับตัวไว้ และไม่ยอมลงโทษพระยอดเมืองขวาง ฝรั่งเศสจะถอนคณะทูตออกจากกรุงเทพฯ ทันทีในครั้งนั้นฝรั่งเศสส่งเรือรบอีกลำไปสมทบกับเรือลูแตงที่จอดอยู่หน้าสถานกงสุลฝรั่งเศส เหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นชนวนนำไปสู่วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖)
วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒

พลเรือโท พระวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นปราบปรปักษ์

นาวาโท โบรี

พลตรี อุมาน
แผนที่แสดงการรบที่ปากน้ำระหว่างฝ่ายไทยกับฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖
ภาพแสดงเหตุการณ์ไทยรบฝรั่งเศสที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา
ฝ่ายไทยเตรียมการป้องกัน โดยกำหนดให้ป้อมพระจุลจอมเกล้าเป็น ที่ตั้งรับที่สำคัญ เรือทั้งหมดที่มีอยู่ได้แก่ เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ (ทั้งสองลำนี้เป็นเรือรบแต่อาวุธล้าสมัย และเล็กกว่าเรือฝรั่งเศส) อีกสามลำคือ เรือทูลกระหม่อมเรือนฤเบนทร์บุตรี และเรือหาญหักศัตรู (มิใช่เรือรบแต่เป็นเรือขนาดเล็กที่ติดตั้งปืนใหญ่แบบโบราณ) เรือลำสุดท้ายที่มาร่วมด้วยคือ เรือทุ่นระเบิด ไทยมีการจมเรือเพื่อขัดขวางการเดินเรือและฝังทุ่นระเบิดไว้ในร่อง เมื่อเรือรบฝรั่งเศสมาถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของพระยาชล ยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเยอ หรือ Andreas du Plessis de Richelieu) รองผู้บัญชาการการรบฝ่ายไทยในวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ชาวเดนมาร์ก ฝ่ายทหารไทย ยิงด้วยนัดดินเปล่าเพื่อเป็นการเตือน แต่เรือรบของฝรั่งเศสยังคงมุ่งผ่านสันดอนเข้ามาใน แม่น้ำเจ้าพระยา ทหารไทยที่อยู่ประจำป้อมพระจุลจอมเกล้าและเรือฝ่ายไทยจึงยิงเรือรบฝรั่งเศส ฝ่ายเรือรบฝรั่งเศสก็ยิงโต้ตอบเช่นกัน จึงเกิดการปะทะกันเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเศษจึงยุติ ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บและได้รับความเสียหาย เรือฌอง-บัปติสต์ เซย์ ถูกยิงเกยตื้นอยู่ริมฝั่งตรงแหลมลำภูราย ส่วนเรือแองกองสตองต์ และเรือปืนโกเมตสามารถผ่านป้อมผีเสื้อสมุทรโดยแทบจะไม่มีการต่อสู้ เข้ามาได้จนถึงกรุงเทพฯ และจอดเทียบท่าอยู่หน้าสถานกงสุลฝรั่งเศส เรือมกุฎราชกุมารของไทยได้รับความเสียหายมากเช่นเดียวกับเรือรบลำอื่น ๆ โดยสรุปต่างฝ่ายต่างได้รับความเสียหาย ดังนี้


วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ นายปาวี กงสุลฝรั่งเศสประจำราชอาณาจักรสยามแจ้งต่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศของไทยว่า เรือรบฝรั่งเศส ๒ ลำ คือ เรือแองกองสตองต์ (Inconstant) และเรือปืนโกเมต (Comète) จะข้ามสันดอนเข้ามายังแม่น้ำเจ้าพระยา โดยแจ้งในครั้งแรกว่าจะเข้าถึงในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม แต่ต่อมาในวันเดียวกัน ได้แจ้งใหม่ว่าจะเข้ามาถึงในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการทรงคัดค้าน และได้ทรงส่งโทรเลขไปถึง พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ กงสุลไทยประจำกรุงปารีสให้แจ้งคัดค้านต่อนายจูล เดอแวล รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส พร้อมทั้งแจ้งด้วยว่าทางไทยได้มีการวางทุ่นระเบิดไว้ในร่องน้ำ นายเดอแวลได้ส่งโทรเลขถึงนายปาวีในเช้าวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ขอถอนคำสั่งเรื่องการผ่านข้ามสันดอนชองเรือรบทั้งสองลำแต่มีปัญหาที่คำสั่งไปไม่ถึง ดังนั้นเรือแองกองสตองต์ ซึ่งนาวาโทโบรี (Bory) เป็นผู้บังคับ พร้อมด้วยเรือปืนกลโกเมต ( Comete) และเรือนำร่องฌอง-บัปติสต์ เซย์ (Jean-Baptiste Say) จึงได้ฝ่าสันดอนแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไปตามคำสั่งเดิมของพลเรือตรี อุมาน (Contre-Amiral Humann) ผู้บัญชาการกองเรือฝรั่งเศสภาคตะวันออกไกล
ฝ่ายฝรั่งเศส
เรือฌอง-บัปติสต์ เซย์ : ถูกยิง ๒ นัด มีรูทะลุน้ำเข้าเรือ จึงต้องแล่นไปเกยตื้น ไม่ปรากฏว่ามีคนบาดเจ็บล้มตาย
เรือแองกองสตองต์ : ตัวเรือและส่วนบนของเรือมีรอยกระสุนปืนเล็กมากมาย และมีรอยกระสุนปืนใหญ่หลายแห่ง หลักเดวิตเรือโบตหัก ทหารตาย ๑ นาย บาดเจ็บ ๒ นาย
เรือโกเมต : ตัวเรือและส่วนบนของเรือมีรอยกระสุนปืนเล็กมากมาย และมีรอยกระสุนปืนใหญ่ ๒ นัด กระจกบนสะพานเดินเรือแตก เรือเล็ก เสียหาย ๒ ลำ ทหารตาย ๒ นาย บาดเจ็บ ๑ นาย
รวม : ทหารฝรั่งเศสตาย ๓ นาย บาดเจ็บ ๓ นาย

เรือแองกองสตองต์ (The lnconstant)

เรือณอง - บัปติสต์ เซย์ (The Jean - Baptiste Say)

เรือโกเมต (The Comete)
ฝ่ายไทย
เรือมกุฎราชกุมาร : ถูกกระสุนปืนใหญ่ ๑ นัด ที่หัวเรือ และถูกกระสุนปืนเล็กเป็นจำนวนมาก เครื่องกว้านสมอชำรุดใช้การไม่ได้
เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ : ถูกกระสุนปืนใหญ่ ๒ นัด ที่ข้างเรือกราบซ้าย ตรงห้องเครื่องจักร ๑ นัด ที่ส่วนบนของเรือ ๑ นัด เรือถูกกระสุนปืนเล็กเป็นจำนวนมาก
เรือหาญหักศัตรู : ถูกยิงที่ท้ายเรือมีช่องโหว่
เรือนฤเบนทร์บุตรี : ไม่ปรากฏว่าถูกยิงที่ใดบ้าง
เรือทูลกระหม่อม : ถูกกระสุนปืนใหญ่ ๑ นัด ที่ตัวเรือ
ป้อมพระจุลจอมเกล้า : ไม่เสียหาย
ป้อมผีเสื้อสมุทร : บริเวณหลุมปืนถูกยิงแต่ไม่เสียหายมาก มีทหารบาดเจ็บ ๖ นาย
รวม : ทหารไทยตาย ๘ นาย บาดเจ็บ ๔๐ นาย



เรือมกุราชกุมารเสืยหานมากจากการปะทะกัน
ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จากวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒
พลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธินทร์
(Andreas de Plessis de Richelieu)
รองผู้บัญชาการการรบฝ่ายไทย
ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒
เรือทูลกระหม่อมยิงต่อสู้กับฝรั่งเศส
ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒
